หนังดราม่าที่มีเนื้อหาหนักแน่นน่าสนใจไม่เบากับภารกิจสู้เพื่อลูกของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ที่ดั้นด้นพยายามสืบหาข้อเท็จจริง เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกสาวที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำต่างประเทศ นี่คือประเด็นที่มาของหนังที่ชื่อว่า "Stillwater" หนังที่เคยเปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์ แต่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ที่ย่อยง่าย ที่อาจจะง่ายไปหน่อย จนทำให้ตัวหนังแทบจะไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสักจุด

มาถึงห

"Stillwater" เล่าเรื่องราวของ บิล หนุ่มที่ยังคงมองหางานทำเป็นหลักแหล่ง เขาเดินทางออกจากบ้านเกิดในเมืองสติลวอเตอร์ รัฐโอคลาโฮมา เพื่อไปเยี่ยมลูกสาวที่ต้องโทษจำคุกอยู่ในเมืองมาร์เซย ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เนื่องจากต้องเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมเพื่อนระหว่างไปเรียนต่อ และการไปหาลูกในครั้งนี้เธอได้พยายามขอให้มีการรื้อคดีขึ้นใหม่ แต่ในเมืองทางการไม่ยื่นมือช่วยเหลือ ผู้เป็นพ่อที่ไม่เคยทำอะไรได้ดีในสายตาลูก จึงได้ตัดสินใจลุกขึ้นออกสืบเสาะหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ท่ามกลางกำแพงภาษาและอันตรายจากต่างถิ่นที่เขาต้องเผชิญ

นี่คือผลงานการกำกับและเขียนบทของผู้กำกับ "ทอม แม็คคาร์ธีย์" จากหนังรางวัลออสการ์อย่าง 'Spotlight' โดยเขาได้ร่วมเขียนบทหนังร่วมกับ "มาร์คัส ฮินเชย์" (จาก All Good Things) ที่คงต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า Stillwater ยังไม่ค่อยเข้าใกล้กับคำว่าสมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่ ประเด็นของหนังค่อนข้างดีและชัดเจน แต่การเล่าเรื่องที่ถ่ายทอดออกมาในหนังนั้นค่อนข้างราบเรียบและจืดชืด ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นขึ้นมาให้เห็น พล็อตทุกอย่างเหมือนใช้สูตรสำเร็จทั้งหมด

แต่ถือว่ายังโชคดีที่ Stillwater ได้นักแสดงระดับตัวท็อปๆ มาช่วยขยี้บทบาทและคาแรกเตอร์ เป็นองค์ประกอบที่ดีในการช่วยพยุงหนังทั้งเรื่องเอาไว้ "แมตต์ เดมอน" แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้สบายๆ แม้ว่าคาแรกเตอร์นี้ของเขาจะค่อนข้างซ้ำและคนดูน่าจะเคยเขาเล่นแบบนี้มาจากเรื่องอื่นๆ มาก่อน แต่เขาสามารถสร้างมิติให้กับตัวละครนี้ด้วยทักษะพื้นฐานของตัวเอง

"อาบีเกล เบรสลิน" มาในบทสมทบที่ก็มีความทรงพลังอยู่ไม่น้อย แม้ว่าตัวละครนี้จะมีความซับซ้อนสูง แต่หนังไม่ได้แสดงให้เห็นในส่วนหนังออกมาสักเท่าไหร่นัก แต่เธอก็สวมบทบาทนี้ได้อย่างเป็นมืออาชีพ สมกับที่สั่งสมประสบการณ์มาตั้งแต่เป็นนักแสดงเด็กคุณภาพ ขณะที่ "กามีย์ กอตติน" นักแสดงสาวฝรั่งเศส ที่ถือว่าค่อนข้างตีโจทย์ได้แตก แม้ว่าหนังจะกลั่นคาแรกเตอร์ของเธอออกมาได้แค่ระดับตื้นเขินเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ดี Stillwater ก็ยังถือว่าเป็นหนังที่มีโจทย์ชวนติดตาม แม้ว่าการเล่าเรื่องจะมีปัญหากับความเนิบช้าและไม่ค่อยเน้นอะไรๆ ออกมาเป็นปัจเจกสำคัญสักเท่าไหร่ หนังก็พอดูได้เรื่อยๆ ไปตลอดความยาว 2 ชั่วโมงนิดๆ เปิดประเด็นและค่อยๆ ไต่ระดับความเข้มข้นและใส่เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ เข้าไปได้อย่างแยบยล หนังเรื่องนี้จึงออกมาในรูปแบบที่ไม่ค่อยมีอะไรที่เหนือเกินความเป็นจริง เป็นการต่อสู้ความยุติธรรมแบบคนทั่วไป ที่ไม่ได้มีอำนาจและอิทธิพลใดๆ มารองรับ

ในช่วงท้ายของหนังก็ดูไม่ค่อยกลมกล่อมเท่าไหร่ เมื่อทำปัญหาทุกๆ อย่างมากองสุมกัน จากนั้นก็ทำการจุดไฟผลาญทุกอย่างออกมาเป็นบทสรุปในแบบที่เหมือนนั่งอยู่บนรถที่คนขับเหยียบเบรกแรงๆ เป็นการตัดฉับเข้าสู่บทสรุปอย่างไม่ดาดดื่น แต่ก็ทิ้งทายเอาไว้ด้วยประโยคที่กินใจในช่วงสุดท้าย ที่เป็นวินาทีปิดฉากที่ช่วยยกระดับตัวหนังขึ้นมาได้อีกนิดหน่อย

โดยภาพรวมแล้ว Stillwater เป็นหนังดราม่าที่ค่อนข้างเข้มข้น หนังเหมือนจะหยิบสูตรการเล่าเรื่องสไตล์ Spotlight มาใช้อยู่ประปราย แต่ก็เปรียบเทียบกันแทบไม่ได้เลย หนังเรื่องนี้ยังคงห่างชั้นกับหนังรางวัลออสการ์เรื่องเยี่ยม ประเด็นดี นักแสดงเต็มที่ เพียงแต่มีบทหนังและใช้วิธีการเล่าเรื่องที่แบนไปสักหน่อย จึงทำให้เป็นเพียงหนังดราม่าที่ยังไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไหร่ แต่รวมๆ ก็คือยังสนุกตามท้องเรื่องไปได้